ธุรกิจส่วนตัว กับเงินเก็บ 8 หลัก



จะเริ่มต้นธุรกิจส่วนตัวยังไง เริ่มจากไหนดี?
มาอ่านเรื่องนี้เถอะครับ รับรองว่า เรื่องนี้คุ้มค่าจริงๆครับ…
แชร์ประสบการณ์ เริ่มต้นธุรกิจส่วนตัว
เริ่มต้นจากติดลบ ด้วยเงินที่ยืมมา 5000 บาท!

ทำธุรกิจส่วนตัวอะไรดี บทความการสร้างธุรกิจส่วนตัว/SME
อาชีพเสริมหรือเป็น อาชีพหลักต่อไปในอนาคต
ข้อมูลความรู้ด้านธุรกิจ การบริหารจัดการ เจ้าของธุรกิจ …

เรื่องจริง อายุ 26 ปี ธุรกิจส่วนตัว กับเงินเก็บ 8 หลัก (อายุ 26 ปี กับเงินเก็บในบัญชี 8 หลัก ชีวิตไม่ได้เริ่มจากศูนย์ แต่เริ่มต้นจากติดลบ ด้วยเงินที่ยืมมา 5000 บาท)

เงินเก็บ 8 หลัก
เงินเก็บ 8 หลัก ภาพประกอบจาก อินเทอร์เน็ต ไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

นี้คือเรื่องจริงในชีวิตของเราที่อยากเล่าให้เพื่อนๆที่กำลังท้อแท้ สิ้นหวัง ได้ลองอ่านดู หวังว่าจะ สร้างกำลังใจ แรงผลักดันให้เพื่อนๆได้ไม่มากก็น้อย เรื่องราวของเราเริ่มต้นจากคำว่า “ลำบาก” แต่เราเชื่อว่า “ความลำบากในวัยเด็ก ผลักดันให้เรามาถึงจุดนี้”

ปัจจุบันเราเป็นเจ้าของกิจการธุรกิจออนไลน์ มีกลุ่มลูกค้าที่สนับสนุนและติดตามจำนวนมาก มีรายได้สามารถเลี้ยงดูตัวเอง และครอบครัวได้ ด้วยวัยเพียง 26 ปี มีเงินเก็บ 8 หลัก มีบ้าน 2 หลัง มีรถยนต์ 4 คัน ใครจะไปรู้ว่าชีวิตเรากว่าจะมาถึงทุกวันนี้มันไม่ได้เริ่มจากศูนย์ แต่มันเริ่มจากติดลบ ด้วยเงินทุนก้อนแรกที่ไปหายืมเค้ามาเพียง 5,000 บาท

เรื่องราวที่เราจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้ เราขอเล่าย้อนหลังชีวิตตั้งแต่วัยเด็กนะคะ เพราะสำหรับเราแล้วทุกสิ่ง ทุกอย่างมันเป็นแรงผลักดันให้มีวันนี้จริงๆ ไม่ใช่ดวง หรือโชคชะตา เราแค่อยากเล่าให้ฟัง ภาษาที่ใช้เขียน ทักษะการเขียนอาจจะไม่สละสลวย แต่ขอยืนยันว่าทุกบรรทัดที่เราเขียนเป็นเรื่องจริง ไม่มีการแต่งเติมเพื่ออรรธรสใดๆทั้งสิ้น

เราเป็นลูกสาวคนที่ 3 ของครอบครัว และมีพี่สาวอีก 2 คน เราเติบโตมาในครอบครัวที่จัดว่ายากจนและลำบาก พ่อรับราชการเป็นตำรวจเงินเดือนสมัยนั้นสตาร์ทหลักพัน เราทั้ง 3 พี่น้องอยู่บ้านพักตำรวจมาตั้งแต่เกิด แม่ชอบเล่าให้ฟังว่าตอนเด็กๆไม่มีเงินถึงขนาดที่ รถพ่วงมาขายขนมถาด ลูกร้องอยากกิน แม่ต้องปิดบ้านหนี เพราะไม่มีเงินซื้อขนมให้ลูกกิน เรื่องนี้ฟังทีไรรู้สึกสะเทือนใจทุกที และคิดว่าถ้าวันนึงตัวเองจะมีลูกจะมีเมื่อพร้อมจริงๆ คนสมัยก่อนเวลาเค้าจะแต่งงานกันใช้ชีวิตด้วยกัน เค้าคิดกันน้อยมาก

ฐานะครอบครัวเริ่มดีขึ้นเมื่อแม่มาทำอาชีพขายหมู เริ่มเห็นเงิน เริ่มมีบ้านเป็นของตัวเอง ซักพักก็มีรถยนต์ และเริ่มซื้อบ้านในตัวเมืองเพิ่มอีก 1 หลัง เพื่อปูทางไว้ในอนาคต เพราะเมื่อลูกโตจะต้องย้ายไปเรียนโรงเรียนในตัวเมือง เนื่องจากที่ที่ฉันอยู่เค้าเรียกว่าต่างอำเภอหรือชนบท
เหมือนว่าความเป็นอยู่ในครอบครัวกำลังจะดีขึ้นมาก แต่ก็ต้องมาพบกับความลำบากแบบสุดๆอีกครั้งเมื่อพ่อเริ่มติด การพนัน ถึงขั้นหมดบ้านเป็นหลัง หมดรถเป็นคัน และเป็นช่วงที่อาก๋ง หรือพ่อของแม่มาเสีย ทำให้แม่เลิกทำกิจการขายหมูเพราะไม่มีคนขึ้นหมูให้และรู้สึกว่ามันบาปกรรม

จากนั้นแม่ก็ลุยขายก๋วยเตี๋ยวเลี้ยงครอบครัว นั่นคือ ก๋วยเตี๋ยวเป็ด ครอบครัวเรากลับมาลำบากอีกครั้ง แม่ขายก๋วยเตี๋ยวเป็ดโดยมีลูกทั้งสามคนช่วยตลอด ตอนนั้นเรียนอยู่ระดับประถมกันหมด ยอมรับว่าชีวิตในวัยเด็กหายไป เพราะแต่ละวันหมดไปกับการช่วยแม่ขายก๋วยเตี๋ยว เนื่องจากแม่เป็นคนทำอาหารเก่งและอร่อย จึงมีลูกค้าประจำจำนวนมาก ลูกๆทั้ง 3 คนก่อนไปเรียนจะต้องช่วยตั้งร้านเตรียมของ ทำเครื่องปรุง กลับจากโรงเรียนก็ต้องช่วยแม่เก็บร้าน ล้างชามจำนวนมากๆ ยอมรับเลยค่ะว่าลำบากตั้งแต่เด็กจริงๆ ไม่มีเวลาเล่นกับเพื่อนเลย แต่เราว่าเราโชคดีที่มีแม่ขยันมาก ลำพังเงินเดือนพ่อไม่ต้องพูดถึง มันน้อยจนไม่เคยตกมาถึงลูก สิ่งที่ลูกได้จากพ่อคือได้เรียนฟรีเพราะเบิกได้ กลายเป็นแม่ต้องเป็นคนลำบากหาเลี้ยงครอบครัว

ที่เราบอกว่าโชคดีที่มีแม่ขยันมาก มันเป็นความโชคดีจริงๆ เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้และซึมซับอะไรหลายๆอย่างมาจากแม่ เรายังจำได้ดีว่า มีครั้งนึงที่พ่อต้องไปทำงานต่างจังหวัด 2 คืน ด้วยความขยันของแม่บวกกับความไม่ค่อยมีเงิน แม่เลยชวนลูกๆออกไปลำบากแต่เช้ามืด ด้วยการเข็นรถเข็นที่บรรทุกของมากมาย เดินไปตลาดนัดกันตามประสาแม่ลูกเพื่อขายก๋วยเตี๋ยวให้กับคนที่มาจ่ายตลาดในตอนเช้า อย่างที่บอกแม่เป็นคนทำอาหารอร่อย ไปขายที่ไหนก็มีแต่คนติดใจค่ะ เงินที่ได้มามันไม่เยอะหรอกค่ะ แต่ก็ยังดีกว่าอยู่เฉยๆ ไม่ได้อะไร มันทำให้เรานิสัยเหมือนแม่ ทุกวันนี้เราคิดเสมอว่า สำหรับเรานะคะ เงินหาไม่ยากเลย ถ้าเราขยัน มีวิธีหาเงินตั้งมากมายจริงๆ

มาถึงจุดเปลี่ยนของครอบครัว เมื่อโรงงานขนาดใหญ่ได้ถูกย้ายออกไป ทำให้คนงานและคนอาศัยลดน้อยลง ตอนนั้นเป็นช่วงที่พ่อต้องย้ายเข้ามารับราชการในตัวเมือง แม่เลยลองย้ายมาตามพ่อ และลุยขายก๋วยเตี๋ยวเป็ดหน้าห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในตัวเมือง โดยที่แม่ได้ฝากลูกทั้งสามคนไว้อยู่กับย่า ลูกยังไม่ได้ย้ายตามมาเพราะต้องเรียนหนังสือที่เดิมอยู่ ตอนนั้นเราเองก็รู้สึกลำบากมาก เพราะเงินที่แม่ทิ้งไว้ให้อาทิตย์ละ 100 บาทต่อคน คือมันไม่พอกินจริงๆสำหรับเด็กวัยเรียน

แต่เมื่อคิดกลับกันแม่ลำบากกว่ามาก เพราะแม่ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียวโดยที่ไม่มีลูกไปช่วย แต่แม่ก็มีแวะมาหาลูกๆบ้าง ทุกครั้งที่แวะมาก็จะฝากพวกตีนเป็ด เครื่องใน ที่เหลือจากการขายก๋วยเตี๋ยวมาให้ลูกเอาไปขาย พวกเรา 3 พี่น้องจะช่วยกันแบ่งใส่เป็นถุงๆมัดให้พองๆ และไปตั้งโต๊ะขายที่ตลาดถุงละ 20 บาท คนเดินผ่านไปผ่านมาสงสารก็ช่วยซื้อ ก็เลยมีรายได้อีกทางนึงไว้สำหรับซื้อขนม ไม่เช่นนั้นจะลำบากมากๆ ถึงขั้นที่บางวันต้องซื้อมาม่าห่อละ 5 บาท 1 ห่อ มากินกับข้าวที่หุงเอาไว้

สุดท้ายพวกเราสามพี่น้องก็ย้ายออกมาอยู่กันเป็นครอบครัว และมาเรียนต่อในเมือง เพื่อช่วยแม่ขายก๋วยเตี๋ยวที่บ้านพักตำรวจเหมือนเดิมค่ะ ตอนนั้นฉันขึ้นชั้นป. 5 พอดี โรงเรียนอยู่ใกล้ร้านของแม่พอดี พักเที่ยงก็ได้สิทธิพิเศษเดินออกมากินข้าวที่ร้านแม่และกลับไปเรียนต่อได้ค่ะ ธุรกิจขายก๋วยเตี๋ยวเป็ดของแม่เป็นไปได้ด้วยดี มีชื่อเสียง และมีลูกค้าขาประจำมากมาย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำต่อ เพราะทางห้างสรรพสินค้าเค้าจะเปลี่ยนเป็นระบบคูปอง ซึ่งขายยิ่งขายดีเท่าไหร่ ทางห้างก็ได้มากเท่านั้น จากที่เคยขายแบบอิสระ เลยรู้สึกถึงการโดนเอาเปรียบ เลยเป็นจุดจบของการขายก๋วยเตี๋ยวเป็ดค่ะ

มาถึงอาชีพสุดท้ายของครอบครัวเรา อย่างที่บอกนะคะ คนขยันไม่มีวันอดตายง่ายๆ ด้วยความที่พ่อเป็นตำรวจ รู้จักคนกว้างขวาง เลยไปคุยขอที่ทางให้แม่ สุดท้ายครอบครัวเราก็ทำอาชีพค้าขายเหมือนเดิม นั่นคือขายผลไม้ตามฤดูกาล โดยเฉพาะขายทุเรียน คืออาชีพหลักที่ส่งลูกเรียนจบทุกวันนี้ค่ะ ร้านเราขายดีมาก ลูกๆทั้ง 3 คนลำบาก ปอกทุเรียนเป็นตั้งแต่อายุ 10 ต้นๆ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของทางร้านไปเลย ตอนนั้นยอมรับว่าเป็นช่วงชีวิตที่เหนื่อยที่สุด ลำบาก ตากแดด ตากฝน นอนดึก และต้องตื่นเช้าไปโรงเรียน งานขายผลไม้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆนะคะ ต้องยกลังผลไม้ที่หนักกว่า 22 โล ต้องตั้งร้าน

ซึ่งเราลำบากตั้งแต่ตอนเด็กๆจริงๆ เคยน้อยใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเพื่อนแต่ละคนสบายใจ ไม่เห็นต้องทำงานหนักแบบนี้เลย แต่เราต้องลำบาก ทำงานหนัก ไปโรงเรียนเพื่อนก็ล้อ ถามว่าอายมั้ย ถ้าความรู้สึกตอนนั้นจริงๆคืออายมากค่ะ อาจจะเป็นเพราะเราคิดว่าวัยเรายังไม่ถึงเวลาที่ต้องมาขายของทำงานหนักแบบนี้ ควรเป็นวัยที่ได้เรียนหนังสือเที่ยวเล่นกับเพื่อนมากกว่า

มาต่อกันที่ชีวิตมหาลัยกันเลยนะคะ ใกล้ความจริงเข้ามาแล้วค่ะ เราเลือกที่จะเข้ามาเรียนต่อที่กทม. เพียงคนเดียว ในขณะที่เพื่อนสนิทและเพื่อนส่วนใหญ่เลือกเรียนในมหาวิทยาลัยประจำจำหวัด ส่วนเราเลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งย่านรังสิต โดยที่ทางบ้านไม่เห็นด้วยเลย เพราะเป็นห่วง แต่เรายอมรับว่านี่คือการดื้อครั้งแรกในชีวิตวัยรุ่นเลย คือเราจะเรียนให้ได้ ยอมกู้เงินเรียน ยอมนั่งรถทัวร์ไปกลับในช่วงแรกเพราะไม่มีเงินเช่าหอพัก เงินค่าประกัน แต่สุดท้ายก็ได้หอพักหญิงที่แบบถูกๆเก่าๆ ตอนนั้นแม่ให้เงินเราใช้อาทิตย์ละ 1000 บาท และช่วยเราออกค่าหอพักเดือนละ 2000 บาท ส่วนเกินที่เหลืออีกเกือบ 2000 เราต้องเป็นคนเก็บจากเงินอาทิตย์มาจ่ายค่าหอพักเอง

ลำบากอีกแล้วชีวิตเรา คือแบบตอนนั้นสุดๆจริงๆ หยอดน้ำ 1 บาทกิน กินข้าวตามร้านแถวมหาลัยได้แค่วันละมื้อ และมื้อค่ำคือต้องพึ่ง มาม่า โจ๊กคนอร์ หรือบางวันก็ต้มข้าวต้มในหม้อหุงข้าวกินกับซีอิ๊ว เพื่อนก็ยังไม่ค่อยมี คือตอนนั้นบอกเลยว่าเรานอนร้องไห้บ่อยมากๆแต่ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง เพราะนิสัยเราคือ “ เป็นคนที่เอาตัวรอดได้ “ และทุกคนก็มองเห็นว่าเป็นแบบนั้น

ที่บ้านเราก็มีปัญหาในการโอนเงินแต่ละอาทิตย์ คือโอนช้า โอนไม่เคยตรงเวลา บางวันคือเงินเราหมดแล้วจริงๆ นั่งรอความหวังกับเงินอาทิตย์ใหม่ กลายเป็นเราต้องไม่มีเงินซื้อข้าวกิน ตอนนั้นเราต้องคอยโทรถามตลอดว่าโอนรึยัง บางครั้งนัดว่าจะโอนกี่โมง เราเดินจากหอไปตั้งไกลเพื่อไปกดตัง สุดท้ายก็ยังไม่โอนเงินมาให้เราเพราะขายของยุ่ง คือความรู้สึกตอนนั้นมันเฟลมากๆ แต่มันเป็นสิ่งที่เราเลือกเองเราก็ต้องอยู่กับมันให้ได้

พอช่วงซักปี 2 – ปี 4 เราก็มีเพื่อนสนิทแล้ว ย้ายมาอยู่หอที่ดีกว่าเดิม ทีนี้อยู่หน้ามหาวิทยาลัยเลย เราขอเงินได้มากขึ้นเป็นอาทิตย์ละ 1500 และค่าหอ 3000 (ส่วนเกินจ่ายเองอีกแล้ว) ในขณะที่เพื่อนๆเราได้เงินใช้กันเดือนละ 12000-15000 ไม่รวมค่าหอ แต่ชีวิตเรา 4 ปี ให้ลำบากแค่ไหนก็ไม่เคยยืมเงินเพื่อนเลย เราอยู่ได้และเอาตัวรอดได้กับเงินแค่นี้

ไม่ต้องแปลกใจเลยเวลาที่เพื่อนๆชวนเราไปเดินห้างทำไมเราถึงเดินเล่นเฉยๆไม่ค่อยซื้ออะไร และทำไมเวลาเพื่อนๆกินอาหารฟาสฟู้ดในห้างเราถึงนั่งเฉยๆไม่ค่อยได้กิน นานๆๆทีถึงจะมีโอกาสได้กิน เพราะงบที่เราได้ เราไม่สะดวกที่จะกินทีนึงมื้อละ 160-300 บาท เวลาที่เราไปกินข้าวกับเพื่อนแล้วต้องหารกัน เศษเงินแค่ 2 บาท 5 บาท เรายังต้องทวงเพื่อน เราไม่สนใจใครจะนินทายังไง เพราะเรามีน้อย เงินแค่ไหนสำหรับเราก็สำคัญ และเราเองก็ไม่เคยเอาเปรียบใคร

จนในที่สุดเราก็เรียนจบในระยะเวลา 4 ปีเป๊ะ ตอนนั้นเราอายุ 22 ปี (เดี๋ยวมาเล่าต่อนะคะ จะเข้มข้นช่วงเรียนจบเนี่ยแหละค่ะ)
———————————————————————

9 thoughts on “ธุรกิจส่วนตัว กับเงินเก็บ 8 หลัก”

  1. (มาต่อค่ะ จะพยายามให้จบในคืนนี้)

    จนในที่สุดเราก็เรียนจบในระยะเวลา 4 ปีเป๊ะ ตอนนั้นเราอายุ 22 ปี ช่วงที่เราเรียนจบ ตอนนั้นทางบ้านก็เตรียมตามตัวให้กลับบ้าน ทางพ่อก็เตรียมจะฝากงานให้ทำ เตรียมจะให้ไปสอบเพื่อรับราชการเหมือนกับพ่อ เราเองคิดว่ามันไม่ใช่ละ เราไม่เคยดูถูกงานทุกชนิด แต่สำหรับเรา เราเห็นพ่อรับราชการมา 25 ปี ไม่เห็นมีอะไรเป็นของตัวเองนอกจากบ้านพักตำรวจ แต่เรามองดูแม่เราที่ทำอาชีพค้าขายส่งเราจนเรียนจบ ซื้อบ้านเดี่ยว ซื้อรถยนต์ เรารู้สึกว่ามันต่างกัน

    พอเราเรียนจบปุ๊ป ยังไม่ทันที่จะรับปริญญา เรารีบชิงทำงานก่อนเลย เพราะเราเคยพูดไว้แล้วว่าถ้าเรียนจบเราจะไม่ขอเงินที่บ้านใช้อีก เราไปสัมภาษณ์งานที่แรกก็ผ่านเลย และได้ทำงานตรงกับสายที่เรียน คือได้ใช้ภาษา เงินเดือนเราสตาร์ท 10,000 บาท ไม่รวมค่าคอมมิชชั่น ซึ่งก็ถือว่ามาตรฐานสำหรับตอนนั้น ต้องบอกก่อนว่าเราเป็นคนที่หัวไว เรียนรู้ได้เร็ว และเป็นคนที่มีความคิด เราจึงทำงานได้เป็นที่พอใจของเจ้านาย เพื่อนร่วมงานและเจ้านายมักจะชมว่าเราเรียนรู้งานได้เร็วกว่าคนอื่นๆ

    เงินเดือนเดือนแรกเราให้พ่อกับแม่หมดเลย และเดือนที่สองเราทำได้ไม่ถึงเดือนเราก็ตัดสินใจลาออก สาเหตุหลักคือเราไม่ชอบที่ที่ทำงานไม่มีระบบ และชอบใช้ให้เราทำอะไรที่ไม่ใช่หน้าที่ของเรา อย่างเช่นให้เดินไกลๆให้ไปส่งปณ. หรือหลังเลิกงานให้ช่วยขนของ ย้ายของ โดยไม่ให้ค่า OT หรือบางวันเราเลิกงานก็จะมืดแล้วยังใช้ให้เราไปซื้อของที่ใช้ที่ห้าง เรารู้สึกเหมือนโดนเอาเปรียบเลยลาออกดีกว่า

    มาถึงงานที่ 2 ของเรา งานนี้เราทำเพราะถ้าไม่ทำจะไม่มีเงินใช้แล้ว ต้องรีบทำฆ่าเวลา นั่นคือ SALE ของฟิตเนตแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียง งานนี้เราทำได้แค่ 1 วัน เราก็ลาออกเลย เพราะเราเองก็ไม่คิดว่างานจะเป็นทำนองนี้ คือทั้งวันที่เราทำงานคือต้องนั่งโทรหาลูกค้าเป็น 100 เป็น 1,000 เพื่อชวนให้มารับกิฟท์วอเชอร์เล่นฟิตเนสฟรี คือเราโทรไปมีแต่คนด่าเรา วางสายใส่เรา และถึงแม้ว่าเงินเดือนจะดีแค่ไหน เราก็ไม่ไหว วันเดียวเราก็หายไปเลย

    มาถึงงานที่ 3 ของเรา (งานสุดท้ายก่อนทำธุรกิจของตัวเองแล้ว) เราเป็น Call center ของโทรศัพท์ค่ายหนึ่ง ซึ่งเราผ่านการอบรมมาเป็นเดือนและได้ลองทำงานจริงอีก 1 เดือนกว่า เงินเดือนตอนนั้น 12,000 บาท ซึ่งเป็นงานที่ไม่ได้ตรงกับสายที่เราเรียนมาเลย และไม่ใช่งานในฝันที่เราอยากทำ แต่เราก็ทำมันได้ดี

    เพราะการเป็น Call Center มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่ใครๆคิด เราต้องอยู่กับระบบมากมาย ตอนนั้นที่เราทำเราเองก็รู้สึกว่าเราถึงทำงานได้ดีและไวกว่าคนอื่นๆ ถึงขั้นที่หัวหน้าไม่ให้เรารับโทรสัพท์ให้มานั่งเทรนด์คนอื่นๆแทน บวกกับเรานั่งมองดูเพื่อนร่วมงานเราแต่ละคน บางคนก็ไม่ได้จบป.ตรี ทำให้เราคิดได้ว่าเราทำงานที่มันลดศักยภาพตัวเองเกินไปรึเปล่า

    ตอนนั้นเราก็เริ่มอยากมีรายได้พิเศษ เราชวนพี่สาวเราขายเสื้อผ้าพรีออเดอร์จากประเทศจีน ต้องบอกก่อนว่าพี่สาวเราก็ไม่มีรายได้ แค่ช่วยแม่ขายของ และขอเงินแม่กินไปวันๆเหมือนกัน ที่เราลองทำตัวนี้ดูเพราะว่ามันไม่มีต้นทุน

    เราเลยลองเปิด facebook ขึ้นมาสำหรับขายของ และพยายามหาแต่ของที่ตัวเองคิดว่าสวย และชอบมาลงให้เยอะที่สุด การตลาดเราไม่มี แต่ร้านเราก็เป็นที่รู้จักและขายดี เรายอมรับว่าเรากับพี่ตั้งใจทุ่มเทให้เวลากับมันมากๆ นอนตี 4- ตี 5แทบทุกวัน เรากับพี่สาวดีใจและตื่นเต้นมากๆ เดือนแรกๆมีลูกค้าออเดอร์สูงถึง 70000-80000 บาท

    เราและพี่สาวสนุกกับมันมาก ทุกครั้งที่มีเสียง sms แจ้งเงินโอนเข้ามาเรามีความสุขมากๆ เราไปทำงาน call center เวลาที่ว่างลูกค้าไม่โทรมา เราก็จะนั่งรับออเดอร์ หาเสื้อผ้าสวยๆมาลงขาย

    แต่….ธุรกิจของเรามันก็ไม่ได้สวยหรูแบบที่เราคิด คนสั่งของเราจำนวนมากก็จริง แต่ของที่เวลาออเดอร์ไป ส่วนใหญ่จะหมด หรือส่งมาผิดสี ทำให้กำไรเราไม่ได้มากอย่างที่เราบวกลบคูณหารเอาไว้ เราต้องโอนเงินคืนลูกค้าบางคน ตอนนั้นเราก็เฟลนิดๆนะคะเพราะของที่เราสั่งจากทางหน้าเว็บเวลาเราเห็นสินค้าจริงแล้วก็ไม่ได้คุณภาพ ไม่สวย

    ตอนนั้นเราจึงตัดสินใจทำเสื้อผ้าพร้อมส่ง ตอนนั้นเราไม่มีเงินเลย ที่บ้านเราก็มีปัญหาด้านการเงิน พี่สาวเราเลยไปยืมเงินเพื่อนสนิทมาลงทุน 5,000 บาท เราสองคนก็ไปเดินแพลตินั่มเลยค่ะ เดินเลือกเสื้อผ้าสวยๆมาขาย เงิน 5000 ซื้อได้ไม่เยอะหรอกค่ะ เราซื้อแค่แบบละ 1 ตัวเอง จากนั้นเราก็สมัคร facebook อันใหม่มาเพื่อขายสินค้าพร้อมส่ง และเอาไปโพสแจ้งลูกค้าเก่าให้เค้าทราบกัน ปรากฏว่าเราขายได้ สนุกเลยค่ะ คือตอนนั้นดีใจมากๆ

    เราเองก็ยังทำงานประจำอยู่นะคะเป็นช่วงเดือนที่ 2 พอดี ก่อนไปทำงานเราก็จะตื่นเช้าหน่อยเพื่อนั่งรถเมลล์ไปแวะเติมของที่แพลตินั่มมาให้ลูกค้า หรือบางวันได้กะเช้า พอเลิกงานก็จะรีบนั่งรถเมลล์มาเติมของแล้วกลับหอพัก เหนื่อยมากๆ แต่ก็ภูมิใจสุดๆ จนเรามาได้ทำงานกะที่ต้องเลิกเที่ยงคืนทุกวัน ทางบริษัทจะมีค่ารถแท็กซี่ให้เบิกได้วันละ 300 บาท ตอนนั้นเราเลยมีความคิดที่จะซื้อรถยนต์เป็นของตัวเอง เพราะสำหรับเราการนั่งแท็กซี่กลับคนเดียวมันอันตรายมาก

    ตอนนั้นเงินเดือนเรา 12,000 แต่เรากลับตัดสินใจซื้อรถยนต์มือสองผ่อนเดือนละ 9,xxx บาท ไม่มีเงินดาวน์ เงินที่เราขายของได้มันยังไม่เยอะหรอกค่ะ เพราะเราเพิ่งขายได้ไม่กี่อาทิตย์เราก็ตัดสินใจซื้อรถเลย บวกกับไฟแนนซ์เห็นเราทำงานได้ไม่ถึง 3 เดือนเลยต้องขอเงินล่วง 2 เดือน เพื่อเป็นหลักประกันว่าเราจะสามารถผ่อนมันได้ เรากับพี่สาวก็รู้สึกว่ารถมันจำเป็นเพราะเวลาที่เราไปซื้อของที่แพลตินั่มเนี่ย ต้องยกของหนักๆข้ามสะพานลอยไปเรียกแท็กซี่ ซึ่งแท็กซี่หายากมากเลย บางวันฝนก็ตก เรารู้สึกว่ามันลำบากมากถ้ามีรถคงสบายกว่านี้

    และแล้ว ในที่สุดก็มาถึงวันที่เราตัดสินใจ “ ลาออก “ (ขอเวลาพิมต่อแปปนึงนะคะ จะให้จบภายในคืนนี้ค่ะ )
    —————————————————————————-

  2. ในที่สุดก็มาถึงวันที่ตัดสินใจ “ ลาออก “ คือตอนนั้นหลังจากที่ได้ผ่านการทดลองงานแล้ว ทางบริษัทก็จะส่งเราไปทำงานที่อื่น ซึ่งมีอยู่ 2 สำนักงาน เพื่อนร่วมงานเราทุกคนได้ไปทำที่หนึ่งซึ่งใกล้และเดินทางสะดวก แต่เรากลับได้ไปทำอีกที่หนึ่งเพียงคนเดียวซึ่งไกลจากที่พักของเรามาก ทั้งที่ก่อนจะเข้ามาทดลองงานทางบริษัทได้แจ้งไว้แล้วว่า หากทดลองงานเสร็จทุกคนจะได้ไปทำงานประจำที่นี่นะ

    แต่เรากลับไม่ได้ไปทำตามที่บอกไว้ เราเองเลยรู้สึกไม่พอใจ เลยมีความคิดที่จะลาออก วันนั้นพอรู้เรื่องก็ปรึกษาใครหลายๆคน ก็ไม่มีใครแนะนำให้เราลาออกนะ เพราะเรามีภาระที่ต้องผ่อนรถ และธุรกิจเสื้อผ้าที่เราเพิ่งเริ่มทำก็ยังไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง แต่สุดท้ายเราก็ลาออกเลย วันรุ่งขึ้นเราก็ไม่ไปทำงานเลย ไม่สนใจว่าถ้าทนทำอีกไม่กี่วันก็จะได้รับเงินเดือน

    พอเราลาออก เราก็มาทำตรงนี้เต็มที่ มีเวลาให้กับงานตลอดเวลา ธุรกิจของเราค่อยๆโตขึ้น จากเราขายได้แบบละ 1 ตัว กลายเป็น 10 ตัว 20 ตัว 50 ตัว (ต่อ 1 แบบนะคะ) ยอดขายเราสูงขึ้นเรื่อยๆ เราเหนื่อยมาก เรายังเช่าหอพักอยู่เลย เราต้องยกของหนักๆขึ้นหอพัก (ไม่มีลิฟท์) ซึ่งเป็นห้องขนาดเล็ก นั่ง QC แพ็คของ และขนของไปส่งที่ปณ. ทำกันแบบนี้ทุกๆวัน

    เพราะพี่สาวเราจะขึ้นมาช่วยเราได้แค่อาทิตย์ละ 2 วัน ตอนนั้นรู้สึกเหนื่อยแต่มีความสุขที่ได้เห็นเงิน เราทำงานหนักจนน้ำหนักเราลงไป 5 kg. เพราะไม่มีเวลากินข้าว
    ในทุกๆเวลาของเรามีแต่ งาน งาน งาน เพื่อนเราเวลาแวะมาหาเราที่หอพักจะตกใจว่าทำไมเรายุ่งจัง ทำไมต้องแบกพัสดุจำนวนมากไปเองคนเดียวแบบนี้

    ช่วงนี้เรามีเงินเก็บก้อนแรก 200,000 บาทแล้วค่ะ กลับกลายเป็นช่วงที่มีคนดูถูกเรา ซึ่งเราไม่เคยลืม ว่ามีผู้ใหญ่คนนึงเคยดูถูกว่างานที่เราทำมันเป็นอาชีพค้าขาย ไม่มีหน้ามีตา ทำไมไม่เรียนต่อปริญญาโทแล้วหางานดีๆทำ

    แต่ตอนนั้นเราภูมิใจเล็กๆกับสิ่งแรกที่เราทำคือผ่อนบ้านแทนแม่ และพยายามเติมเต็มสิ่งเล็กๆน้อยที่ครอบครัวเราขาด อย่างเช่น “ ทีวีจอแบนขนาดใหญ่ “ แม่เล่าให้ฟังว่า ครั้งแรกที่พ่อเข้ามาเห็นทีวีในบ้าน (พ่อเมานิดๆ) พ่อบ่นน้อยใจชีวิตกับแม่แล้วร้องไห้ ว่ารับราชการมา 20 กว่าปีไม่เคยมีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ลูกสาวเพิ่งจบปริญญาตรีไม่กี่เดือนมีเงินซื้อของแบบนี้เข้าบ้านแล้ว ตอนนั้นเราฟังแล้วร้องไห้ และคิดว่าจะพยายามเติมเต็มในสิ่งที่ครอบครัวเราขาด
    T_T

    ต่อๆ ยอดขายเราสูงขึ้นเรื่อยๆเหมือนขั้นบันได อย่างที่บอกว่าเราทำเพียงคนเดียว พี่สาวจะขึ้นมาช่วยอาทิตย์ละ 2 วัน ตอนนั้นเป็นช่วงที่เรากำลังมีแฟนใหม่ (แฟนเก่าเราไม่มีบทบาทในการช่วยเราทำมาหากินแม้ซักครั้ง เพราะเค้ารวย เราเลยไม่ได้พูดถึงนะคะ แต่เรามีแฟนตลอดค่ะ )

    ตอนเราเจอกับแฟนใหม่เรามีเงินเก็บประมาณ 7 แสนแล้วค่ะ พอขายดีขึ้นห้องที่อยู่มันเริ่มเล็กเกินไปแล้ว เราเลยไปเช่าคอนโดเดือนละ 18,000 อยู่ เป็น 2 ห้องนอนค่ะ ตอนนั้นเสียดายค่าเช่านะคะ แต่คิดว่าเป็นการเช่าเพื่อทำงาน เราอยู่กับแฟน และแฟนเราช่วยเราทำงานตลอด ทุกอย่าง

    เราอยากจะบอกว่าคู่ชีวิตที่ดีสำคัญมากๆนะคะ พอมีคนที่ช่วยเรา เป็นเพื่อนคู่คิดเราในทุกๆเรื่อง มันทำให้งานออกมาดี ทุกวันนี้คอนโดนั้นเป็นความทรงจำที่ดีมาก เราไม่เคยลืมเลยว่ามันเป็นที่ที่เหนื่อยที่สุด แฟนเราช่วยเราส่งข้อความสรุปยอดโอนให้ลูกค้า ทำตั้งแต่หัวค่ำ ได้นอน 7 โมงเช้า พอแฟนเราหลับ เราก็ตื่นมาแพคของส่งลูกค้า นั่งตอบข้อความ แฟนเราก็ไปช่วยเราซื้อของ ยกของ ตอนนี้เราไม่ต้องยกของหนักๆเองอีกต่อไปแล้ว

    ในที่สุด เราก็มีผู้ช่วยแพคของ 1 คน เรายังจำได้ดี ตอนนั้นเป็นช่วงที่ยอดขายเราพุ่งสูงมาก (แต่ยังไม่สูงสุดนะคะ) คืนวันอาทิตย์เป็นวันที่โหดร้ายที่สุด เพราะยอดเงินเข้าเยอะ และของที่ต้องแพ็คส่งเยอะเนื่องจากอั้นจากวันศุกร์เสาร์อาทิตย์มาส่งวันจันทร์ เราและแฟนจะนั่งเช็คยอดเงินและลงออเดอร์กันทั้งวัน และแบ่งเวลามาแพ็คของกับผู้ช่วยตอนหัวค่ำจนถึงประมาณตี 3 เราก็ให้แฟนเราไปนอนส่วนเรากับผู้ช่วยแพ็คกันต่อจนถึง 7โมงเช้า ไม่ต้องถามเลยว่าเหนื่อยและปวดหลัง ง่วงนอนขนาดไหน

    พอไปรษณีย์เปิดปุ๊ป เราก็ปลุกแฟนเราให้แฟนเรารีบไปส่งของ ส่วนเราก็ยังนั่งแพ็คของต่อ พอแฟนเราส่งเสดก็มาเอาของเพิ่มไปส่ง เนื่องจากรถเราคันเล็กค่ะทุกได้ไม่หมด

    ใน 7 วันเรากับแฟน ไม่มีเวลาทำอย่างอื่น ตัดขาดโลกภายนอก ทำแต่งาน เพราะกำลังบ้างานแบบสุดๆ เพื่อนชวนไปไหนไม่เคยไป จนเพื่อนค่อยๆห่างออกไป เพราะรู้ว่าเรายุ่งมากจริงๆ ถามว่าทำงานตรงนี้มีอุปสรรคมั้ย มีแน่นอนค่ะ ขายดีขนาดนี้ และเราเป็นคนเครียดง่าย ถ้าเจอลูกค้าวีน ตอบช้า ตอบไม่ทัน ส่งของผิด จิก ด่า เราจะจิตตกเลย

    ในที่สุดยอดขายเราพุ่งสูงสุดอยู่ที่ 200-300 ตัวต่อแบบแล้วค่ะ (แต่ไม่ใช่ทุกแบบค่ะ) คอนโดเราทั้งสามห้อง (ห้องนอน 2 ห้องนั่งเล่น 1 ) เต็มไปด้วยเสื้อผ้า ไม่มีทางจะเดิน นอนรอบกองเสื้อผ้า เราเลยมีความคิดที่จะกู้เงินซื้อบ้านเพื่อทำเป็นออฟฟิต เพราะคิดเสียดายเงินที่เช่าคอนโด เอามาผ่อนบ้านจะดีกว่าจะได้มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน

    ตอนนั้นไม่คิดว่าจะกู้ผ่าน เพราะอายุแค่ 23 ปี และเป็นธุรกิจทางอินเตอร์เนตไม่มีความมั่นคง แต่สุดท้ายก็กู้ผ่านไม่มีอุปสรรคใดๆค่ะ เพราะเงินเข้าออกบัญชีเยอะมาก และมีที่มาที่ไป เวลาเราไปขอสเตทเม้นท์เนี่ย มันเยอะจนระบบเค้าแฮงค์ไปเลยค่ะ

    เราย้ายมาอยู่ที่บ้าน (ออฟฟิต) และพยายามทำงานให้เป็นระบบมากขึ้น โดยจ้างพนักงานเพิ่มอีก 2 คน รวมเป็น 3 คนแล้วค่ะ เราเริ่มสบายขึ้นนิดนึง แต่ถึงมีพนักงานแล้ว เราก็ยังช่วยแพ็คของ และช่วยตอบอินบ๊อกเหมือนเดิม เพราะงานมันเยอะมากมีพนักงาน 3 คนก็ยังไม่ทัน

    ตอนนี้เราเริ่มคิดๆๆๆ ว่าจะทำยังไงให้กิจการเราโตมากกว่านี้ ลำพังเอาสินค้าที่แพลตินั่มมาขาย มันเริ่มไม่พอแล้ว เพราะเราซื้อทีนึงเยอะมาก แต่แพลตินั่มเอามาจำนวนต่อแบบไม่เยอะ ถึงเราจะตัดสต็อกมาหมดเลย แต่ก็ไม่พอขาย มันรู้สึกว่าขายไม่มันส์เลย ทั้งที่ลูกค้ายังมีความต้องการมาก แต่สินค้ากลับมีไม่พอ

    แฟนเราเลยหาข้อมูลที่จะบินไปซื้อของที่จีนเอง ในที่สุดเราก็ตัดสินใจบินไปจีนครั้งแรก >> (ขอเล่าต่อพรุ่งนี้นะคะ ขอโทดด้วยค่ะ ง่วงมาก )
    ——————————————————————-

  3. ต่อๆๆๆค่า ขอบคุณที่ติดตามนะคะ

    เราบินจีนครั้งแรกเราเลือกไปทัวร์แม่ค้าค่ะ จริงๆเราติดต่อคาร์โก้ใหญ่ๆไว้หลายที่ แต่แต่ละที่ ignore เราด้วยการบอกค่าขนส่งแพง (ค่าขนส่งทางจีนคิดเป็นกิโล) ที่เค้าบอกแพงเพราะว่าเราเป็นเจ้าใหม่และไม่รู้ว่าเราจะซื้อเยอะมั้ย ถึงเราประมาณไปแล้วว่าจำนวนเยอะ เค้าก็ยังไม่เชื่อถือ ดังนั้นเราเลยเลือกที่จะไปทัวร์แม่ค้าก่อนเพราะคิดค่าขนส่งเท่ากัน และไม่บังคับว่าจะต้องซื้อเยอะ เน้นพาไปดูสถานที่มากกว่า

    ครั้งแรกเราตื่นเต้นที่ได้เห็นสินค้าบางแบบที่เราเคยขายแขวนอยู่ที่ตลาดค้าส่งที่จีน ทำให้เราทราบต้นทุนตั้งแต่ตอนนั้นเลย แต่บอกเลยว่าครั้งแรกเราเองก็ไม่ประทับใจ ทั้งเหนื่อย มีอุปสรรคมากมาย ไกด์ก็ต่อราคาไม่เก่งราคาบางทีเท่ากับราคาส่งที่แพลตินั่มเลย เวลาซื้อของเสดเราต้องมานั่งแพคใส่กระสอบเองทั้งเหนื่อยและร้อน ไปเดินครั้งแรกเราเจอแม่ค้าแพลตินั่มร้านที่เราเคยซื้อเดินเลือกของอยู่เหมือนกันค่ะ

    สรุปไปครั้งแรกเหมือนไปหาประสบการณ์ เรามีอุปสรรคปัญหามากมาย เช่น ส่งของมาไม่เหมือนแบบ ปนสีมามั่วซั่ว สั่ง 1 สี ส่งมา 4 สี แต่อยากให้ลองไปกันนะคะถ้ามีโอกาส เราไปครั้งเดียวสมองเราพลุ่งพล่านมาก เหมือนมันได้เห็นอะไรหลายอย่าง เห็นลู่ทางในการหาเงิน ตอนเรานั่งเครื่องขากลับเราคุยกับแฟนตลอดจนถึงไทยเลยค่ะ ว่าจะทำแบบนู้น แบบนี้ มันรู้สึกเหมือนตัวเองมีเป้าหมาย

    ครั้งต่อๆไปเราเลือกคาร์โก้ที่มีชื่อเสียงและคนส่วนใหญ่ใช้กันแล้วค่ะ ยอมจ่ายค่าน้ำหนักต่อกิโลแพงหน่อย พอเค้าเห็นว่าเราสั่งซื้อเยอะจริง เค้าก็ปรับค่าส่งให้เท่ากับเรทแม่ค้าที่แพลตินั่มค่ะ คราวนี้เรามีประสบการณ์หลายๆอย่างจากครั้งก่อนแล้ว เราอยากจะบอกว่า มีไกด์ดี ชีวิตก็ดีค่ะ

    เราโชคดีที่เจอไกด์ที่ดี เก่ง ฉลาด รักษาผลประโยชน์ให้เรา อย่างเช่น ต่อราคาให้ถูกที่สุด เพราะไกด์ของคาร์โก้ใหญ่เค้าจะทราบราคาดีว่าสินค้าตัวนี้ต้องซื้อราคาที่เท่าไหร่ เนื่องจากเค้าต้องพาลูกค้ามาเดินตลาดแทบทุกวัน และสมมุติเราไปถามราคาเสื้อตัวนึง 38 หยวน เค้าก็จะบอกเราว่าแบบนี้อีกร้านก็มีนะ 25 หยวนเอง

    ซึ่งถ้าเรามากับคนอื่นเราคงไม่ทราบและซื้อ 38 หยวนไปแล้วค่ะ และข้อดีของการใช้บริการคาร์โก้ใหญ่คือบริการดี ทำงานเป็นระบบ เราไม่ต้องเหนื่อยทำอะไรเลย เดินสั่งของสวยๆและก็เอาแต่บิลกลับมาค่ะ ไกด์ที่บอกคือไกด์ของคาร์โก้นะคะ และเราก็ใช้คนเดิมมาจนถึงทุกวันนี้ค่ะ

    การบินไปจีนของเราทำให้ธุรกิจโตขึ้นมาก เมื่อเราได้ไปเลือกของแปลกใหม่ด้วยตัวของเราเอง รวมถึงออกแบบ เลือกผ้า เลือกวัสดุเอง บางแบบที่เราสั่งตัดจากที่จีน เราขายดีมากจนรีออเดอร์แล้ว รีออเดอร์อีก รวมๆแล้วแบบนั้นขายไป 1500 ตัวได้ค่ะ สำหรับเราขายปลีกได้เท่านี้ถือว่าเยอะมาก เราพยายามเป็น ผู้นำ มากกว่า ผู้ตาม ที่เราใช้คำว่าพยายาม เพราะสำหรับคำว่าแฟชั่น บางอย่างเราก็ต้องตามเช่นกัน

    เราโชคดีมากที่ได้ทำในสิ่งที่เราชอบ ทำในสิ่งที่เรารัก เพราะเราเป็นคนชอบแต่งตัวมาก ชอบมิกซ์แอนด์แมต ชอบดัดแปลงเสื้อผ้าตัวเองตั้งแต่อยู่มหาลัยละ เราฝันไว้ตั้งแต่ตอนเรียนอยู่แล้วว่าถ้าเรียนจบจะเปิดร้านเสื้อผ้า แต่ก็คิดว่าคงเป็นแค่ความฝัน ไม่คิดว่าฝันจะเป็นจริง

    หลักเกณฑ์ในการเลือกของมาขาย เราแค่เลือกในแบบที่เราชอบ แบบเห็นแล้ว ปิ๊ง ชอบ เราเป็นคนที่เห็นของปุ๊ป(หมายถึงบางแบบนะคะ) จะมีเซ้นส์อยู่ในใจเลย ว่าตัวนี้จะได้ยอดนะ จะขายดีมากนะ จากนั้นสมองเราก็จะรีบคิด คำนวณว่าจะทำยังไงให้ลงของได้เร็วที่สุด ลงก่อนคนอื่น

    ต้องนำเทรนด์ให้ได้ ที่ต้องกลัวลงหลังคนอื่นเพราะอย่าลืมว่า ถ้าสินค้าที่จีนมี แพลตินั่มก้มีเช่นกันค่ะ สมองเราจะไม่ว่างเลย ประมวลผลตลอด ชั้นจะเอาไปแมตกับอะไร ถ่ายรูปตรงไหน และจะทำการตลาดก่อนลงสินค้าด้วยการใส่รีวิวเหมือนไปเที่ยวนู่น นี่ นั่น เพื่อให้ลูกค้าเห็นผ่านตา หรือมาเม้นว่า สวยค่ะ จะมีมั้ยคะ ถ้าเราเห็นว่ากระแสเริ่มดี เราจะรีบสั่งรีออเดอร์สินค้าเพิ่มไว้ก่อนเลยค่ะ จะได้มีสินค้าพร้อมส่งให้กับลูกค้าเยอะๆ

    ทำไมเงินเก็บถึงก้าวกระโดดไว ทั้งที่เสื้อผ้าที่เราขายไม่ได้มีมูลค่าสูงมากมาย ถึงแม้จะขายในจำนวนที่มาก >>>> ขอพิมพ์แปปนุง
    —————————————————————————

  4. ทำไมเงินเก็บถึงก้าวกระโดดไว ทั้งที่เสื้อผ้าที่เราขายไม่ได้มีมูลค่าสูงมากมาย ถึงแม้จะขายในจำนวนที่มาก >>>> น้ำขึ้นให้รับตักค่ะ สำนวนนี้ใช้ได้เลย ตอนที่ร้านเรากำลังบูม มีฐานลูกค้าเยอะ เราหยิบจับอะไรก็เป็นเงินเป็นทองค่ะ เราเลือกที่จะขาย “ สินค้าตามกระแส “ โดยที่พยายามเป็นผู้นำนะคะ ไม่ใช่ทำตอนที่เริ่มโลวแล้ว

    เราเลือกขายสินค้าที่มีมูลค่าสูงขึ้นและผลตอบแทนที่มากขึ้น แต่ทั้งนี้สินค้าเหล่านั้นเราต้องได้ทดลองและมั่นใจว่าดีจริงๆ เพราะลูกค้าประจำเค้าเชื่อใจเรา เราจะทำให้เค้าผิดหวังไม่ได้ สินค้าตามกระแส เราเองขายความจริงใจ พูดตรงๆ เลยทำให้ธุรกิจเป็นไปด้วยดี มีการแนะนำบอกต่อ แต่สินค้าตามกระแสมาไวไปไวค่ะ

    ดังนั้นนอกจากขายเสื้อผ้าแล้ว สมองเรายังต้องแล่นอยู่ตลอดเวลา เพื่อจะหยิบจับหาอะไรใหม่ๆเข้ามาอยู่ตลอด เราเหมือนคนที่ทำงานตลอดเวลา แม้กระทั่งก่อนนอนก็จะคิดเรื่องงานจนหลับ หลับแล้วก็จะฝันถึงงาน ตื่นมาก็ทำงาน ขนาดไปเที่ยวต่างจังหวัด ไปต่างประเทศ หรืออยู่กับเพื่อนๆเราก็ยังทำแต่งาน ถึงขนาดที่เพื่อนชวนคุยก็ไม่ว่างคุย

    เราอยากจะบอกว่า เรายังไม่ใช่คนที่ประสบความสำเร็จอะไรนะคะ เราก็ยังเป็นแม่ค้าคนนึงที่ยอดขายก็ผันไปตามสภาพเศรษฐกิจ ที่ไม่ได้มีความมั่นคงอะไร เราก็กำลังมองหาอะไรที่มั่นคงทำอยู่เหมือนกันค่ะ ยังมีโปรเจ็คอะไรหลายๆอย่างที่แพลนเอาไว้

    สุดท้ายที่เขียนมาทั้งหมด มันไม่ใช่เรื่องของ “ ตัวเลข “ ในบัญชีอย่างเดียวนะคะ ตัวเลขไม่ว่าจะกี่หลักไม่ใช่ความสุขในชีวิตเราทั้งหมด เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุด คือเราภูมิใจ เราภูมิใจที่พ่อแม่เราเล่าเรื่องของเราให้เพื่อนฟังด้วยความภูมิใจ เราภูมิใจที่เพื่อนๆเราเล่าเรื่องของเราให้พ่อแม่เค้าฟังด้วยความภูมิใจ

    และสุดท้ายยยยยย

    *****ขอบคุณแม่ ไม่ต้องอธิบายแล้วว่าอะไรบ้าง
    *****ขอบคุณพ่อ ถ้าพ่อมาอ่านไม่ต้องน้อยใจเลย เพราะลูกได้อะไรจากพ่อมาเยอะมาก ทั้งความคิดที่พ่อปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก พ่อนิสัยยังไงลูกเป็นแบบนั้น ทุกวันนี้ลูกฉลาดทันคนเหมือนพ่อ
    *****ขอบคุณพี่สาวที่เป็นผู้ช่วย เป็นเลขาที่ดี รองรับได้ทุกสภาพอารมณ์
    *****ขอบคุณพี่สาวอีกคนและแฟนพี่ที่ช่วยกันทุกครั้งที่ต้องการความช่วยเหลือ
    *****ขอบคุณแฟนที่ดี ที่ผ่านความยากลำบากมาด้วยกัน ขอบคุณที่เป็นเพื่อนคู่คิดที่ดี และเป็นส่วนที่สำคัญที่ทำให้มีวันนี้
    *****ขอบคุณเพื่อนรักทุกๆคน อธิบายเป็นตัวอักษรไม่ได้เช่นกัน
    *****ขอบคุณพนักงานทุกคนทั้งคนที่ยังทำอยู่ และคนที่ลาออกไปแล้ว ทุกคนมีส่วนร่วมที่สำคัญค่ะ
    *****ขอบคุณช่างภาพที่มีส่วนร่วมในทุกวันนี้เช่นกัน ทำงานด้วยกันมายาวนานจริงๆ
    ***** ขอบคุณลูกค้าทุกๆคนจริงๆค่ะ
    ***** ขอบคุณเงิน 5,000 จากเพื่อนพี่สาวไม่เคยลืมบุญคุณจริงๆ

  5. ปัจจุบัน
    -เรากำลังส่งพ่อเรียนปริญญาโท
    -เรามีเงินเดือนให้พ่อและแม่ใช้ทุกเดือน

    มีอะไรที่อยากจะบอกไว้
    สุขภาพสำคัญมาก เงินไม่สามารถซื้อสุขภาพที่ดีได้ เราจะยกตัวอย่างให้ฟัง
    -ก่อนหน้านี้พ่อเราป่วยหนัก เป็นโรคที่ต้องให้อาหารทางจมูก ปากเบี้ยว พูดไม้รู้เรื่อง พี่สาวเราพูดกับเราประโยคนึงว่า
    “ พอบ้านเราการเป็นอยู่ดีขึ้น มีเงินมากขึ้น พ่อก็มาเป็นแบบนี้เนอะ “ ตอนนั้นทำให้เราคิดอะไรได้หลายๆอย่างมาก แต่ปัจจุบันพ่อเราหายปกติแล้วค่ะ และตัวเราเองก็เช่นกันก็พยายามแบ่งเวลา แยกงานออกจากชีวิตส่วนตัว แบ่งเวลาไปเที่ยวเล่น ผ่อนคลายบ้าง และดูแลสุขภาพให้มากขึ้น

    ขอบคุณที่ติดตามอ่านจนจบนะคะ หวังว่าจะสร้างแรงบันดาลใจให้คนที่กำลังท้อแท้ ไม่รู้ว่าชีวิตจะทำอะไรดี ได้เจอความฝันและลงมือทำ สู้จนประสบความสำเร็จนะคะ หาไอดอลประจำตัวไว้ซักคน อย่างเราเองเราดูหนังเรื่องเฒ่าแก่น้อยมากกว่า 5 รอบ เราอ่านหนังสือของคุณตัน ทุกเล่ม ข้อคิดอันไหนที่เราสนใจเราจะอ่านซ้ำๆท่องให้มันขึ้นใจ

    เราขออนุญาตไม่บอกชื่อเพจ ไม่ใบ้ และไม่ตอบชื่อเพจ ทางหลังไมค์ด้วยนะคะ เพราะกระทู้นี้เราไม่ได้สร้างมาเพื่อการตลาดใดๆทั้งสิ้น หวังว่าจะเข้าใจจุดประสงค์ที่แท้จริงของเรานะคะ และขอบคุณพื้นที่ดีๆที่ให้แบ่งปันเรื่องราวชีวิตค่ะ ขอบคุณค่ะที่มา pantip.com/topic/32535488

    คงจะพอได้ไอเดียจากบทความนี้บ้าง ไม่มากก็น้อยนะครับ
    สรุปคือ ธุรกิจส่วนตัว ที่น่าสนใจลงทุน ใครอยากทำธุรกิจส่วนตัวเล็กๆ ลงทุนน้อย
    ควรเลือกทำใน สิ่งที่เราชอบ ทำในสิ่งที่เรารัก แล้วสิ่งอื่นๆก็จะตามมาทีหลังครับ
    ————————————————-

  6. จากส่วนหนึ่งของ บทความ อายุ 26 ปี ธุรกิจส่วนตัว กับเงินเก็บ 8 หลัก นะครับ
    อ้างถึง “แต่สำหรับเรา เราเห็นพ่อรับราชการมา 25 ปี ไม่เห็นมีอะไร เป็นของตัวเองนอกจากบ้านพักตำรวจ แต่เรามองดูแม่เราที่ทำอาชีพค้าขาย
    ส่งเราจนเรียนจบ ซื้อบ้านเดี่ยว ซื้อรถยนต์ เรารู้สึกว่ามันต่างกัน”

    สาเหตุที่คนจนยิ่งจน คนรวยก็ยิ่งรวยยิ่งขึ้นนะครับ
    อ่านได้จากบทความนี้นะครับ

    +++ คนจนยิ่งจน คนรวยยิ่งรวย +++
    นายโรเบิร์ต รีช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
    ในสมัย ประธานาธิบดี คลินตัน กล่าวว่า
    ในศรษฐกิจยุคใหม่ ที่มีรายได้ ที่ไม่อาจคาดเดาได้
    รายได้มีแค่สองทางเท่านั้น คือ ทางด่วน กับทางช้าเท่านั้น
    มันไม่มี ทางระหว่างกลางเลย…
    http://www.job.matethai.com/hope/%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A2/

  7. ธุรกิจทำเงิน
    ธุรกิจทำเงินแห่งยุค อาชีพทำเงินที่มาแรงที่สุด!
    สวัสดีครับ วันนี้เว็บงานเรา มีเรื่องราวเกี่ยวกับ ธุรกิจทำเงิน รวย รวย รวย ^^
    ธุรกิจที่ ลงทุนต่ำ ทำง่าย กำไรดี อาชีพทำแล้วรวย เงินได้จริง
    108 ไอเดียทำมาหากิน สำหรับคนที่ อยากทําธุรกิจส่วนตัว มาฝากกันครับ

    http://www.job.matethai.com/business/makemoney/

  8. รวม 108 อาชีพทำเงินล้าน สร้างรายได้ รวย อย่างได้ผลจริง!
    รายได้มหาศาล ไม่ได้ถูกสร้างจาก การทำงานหนัก
    (อย่างเช่น กรรมกร ถึงจะทำงานหนักเท่าไหร่ ก็ไม่มีวันรวย
    เพราะถ้า การทำงานหนักแล้ว ทำให้รวยได้ กรรมกรก็คงจะเป็น
    คนที่ร่ำรวยที่สุด ไปแล้วครับ…)

    สิ่งสำคัญของ การสร้างรายได้ อย่างมหาศาลคือ
    มันถูกสร้างด้วยความรู้ การทำงานอย่างชาญฉลาด และความพยายาม!
    http://www.job.matethai.com/%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%9E%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99/

  9. อาชีพเสริมและอาชีพคืออะไร + อาชีพเสริม ขายอะไรดีที่สุด
    รวมข้อมูลเกี่ยวกับ 108 อาชีพเสริม สร้างรายได้ เยอะแยะมากมาย!!!

    เพื่อนๆ รู้ไหม แม้แต่ขยะ เรายังเปลี่ยน เป็นเงินได้!

    http://www.job.matethai.com/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%9E%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A1/

Leave a Reply